รวยแล้วถึงรู้

่"รวยแล้วถึงรู้" คนหลายคนเมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน อาจคิดเหมือนพ่อผม ที่คิดว่า “ตอนหนุ่มมีแรง ก็ทำงานให้เต็มที่ แล้วค่อยๆ ออมเงินไว้ตอนแก่จะได้สบาย ได้ไปเที่ยวรอบโลก” แต่เอาจริงๆ พ่อเริ่มมีลูก ค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม ต้องส่งลูกเรียน และ พอแก่ตัวลง สุขภาพก็เริ่มแย่ ต้องเอาเงินที่หามาได้ จ่ายคืนเป็นค่ารักษาสุขภาพร่างกายที่ใช้ไปอย่างหนัก ในตอนหนุ่มกลับคืนมา เปรียบดั่งสุภาษิต คนที่วิ่งตามเงาตัวเอง วิ่งอย่างไรก็ไล่ตามเงานั้นไม่ทัน ซึ่งแม้ผมจะเห็นคุณพ่อเป็นบทเรียนที่ไม่ถูกต้องแล้ว แต่ผมก็เริ่มต้นการทำงานด้วยความคิดแบบเดียวกับท่าน เพราะผมมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากทำงานให้ดีที่สุด แล้วเก็บเงินให้มากๆ จนสุดท้ายผมก็พลาดและเป็นหนี้ จึงได้เรียนรู้ว่าวิธีแบบนี้ มันผิด! ชีวิตของคนทำงานเหมือน อยู่ในเขาวงกต หาทางออกไม่ได้ ผมเคยคิดกับตัวเองว่า ทำไมสิ่งดีๆ มันไม่เกิดกับผมบ้าง ทำไมผมจึงมองหาโอกาสดีๆที่จะลงทุน แบบเพื่อนรวยของผมไม่ได้ , ทำไมพอผมทำธุรกิจ มันก็ล้มเหลว, หรือธุรกิจที่ผมคิดจะทำแต่ไม่กล้าเริ่ม พอคนอื่นทำแล้วเจริญรุ่งเรือง ? มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจผมมาก ยิ่งได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่น ประสบความสำเร็จไปทีละคน ไอ้คนที่รวยก็รวยขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเพื่อนกลุ่มที่ธรรมดา ก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาต่อไป แต่ผมโชคดีที่มีเพื่อนดี นั่นคือเพื่อนที่ผมเรียกว่า “เพื่อนรวย” นั่นเอง เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี และทำอะไรให้ผมทึ่งได้เสมอเลย เขาสอนผมว่า สิ่งแรกที่ต้องฝึกคือการมองโลกในแง่บวก แล้วทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นเอง ปัญหาทาการเงินที่ว่ายากๆ ก็จะแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะเหรียญมันมีสองด้านเสมอ ให้ผมฝึกที่จะมองเหรียญในด้านบวก แล้วสิ่งดีๆจะตามมาเอง มันเป็นความน่าอัศจรรย์ที่เพื่อนผมบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เขาย้ำให้ผมลองฝึกดู ซึ่งในช่วงแรกของการเริ่มคิดบวก ชีวิตผมก็ยังเหมือนเดิม แต่ความพยายามที่จะฝืนมองบวกไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย แล้วต่อจากนั้น ผมไม่ใช่แค่ “คิดบวก” แต่ผม “รู้สึกได้ถึงด้านบวก” ของสิ่งต่างๆ ซึ่งสำหรับคนที่ทางครอบครัวไม่เคยปลูกฝังความคิดแบบนี้ หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อาจไม่เข้าใจว่าทำอย่างไร แต่ความคิดที่ดีๆ สามารถถ่ายทอดต่อได้ อย่างในครอบครัวคนจีน จะถูกปลูกฝังเรื่องการทำธุรกิจโดยการกระทำให้เห็นจน รุ่นลูกก็มีทัศนะคติในการค้าขาย จากการเห็นพ่อแม่คุยเรื่องการค้ามากๆ สำหรับตัวผมเอง ผมไม่รู้ว่า การมองโลกในด้านบวก แล้วชีวิตเริ่มดีขึ้น หรือ ชีวิตผมเริ่มดีขึ้น ผมจึงเริ่มมองโลกในด้านบวก (ไม่รู้ว่า อะไรเกิดขึ้นก่อน) แต่สิ่งสองอย่างนี้ มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง คู่กันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ ผมเริ่ม ปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิต และแล้ว เงินทองก็ไหลเข้ามาหาผมเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ หากจะระบุเฉพาะในเรื่องของเงินๆทองๆ หรือ เรื่องทัศนคติ เกี่ยวกับการเงิน ผมบอกได้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่า คนที่ยังไม่รวย กับ คนที่รวยแล้ว(หรือคนที่จะรวยได้) มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเงินต่างกันมาก ผมเมื่อสิบปีที่แล้ว กับผมในตอนนี้ ก็มีความคิดเกี่ยวกับเงินที่ต่างกันมาก จนผมพูดได้ว่ามุมมองเกี่ยวกับเงินของคนจน กับคนรวยนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจะเริ่มต้นจากการปรับทัศนะคติเกี่ยวกับเงินให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วการกระทำจะเปลี่ยนแปลงตามไปเอง หรือเรียกว่า ปรับทิศทางเดินให้ถูก และเมื่อเราเดินไปถูกทาง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เราก็จะถึงจุดหมายสักวัน ที่มา : หนังสือ เข็มทิศการเงิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น